ท้องอืด ตั้งครรภ์ วิธีแก้ และการป้องกันปัญหา

อาการท้องอืด เป็นเรื่องที่พบได้เป็นประจำในคนที่กำลังตั้งครรภ์ และเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในช่วงการตั้งครรภ์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากมันสามารถเกิดอาการนี้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มต้นมีการปฏิสนธิของตัวอ่อนในครรภ์ อาการท้องอืดก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว สาเหตุของอาการ ท้องอืด ตั้งครรภ์อ่อนๆนั้นเกิดจากการปรับสภาพของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ ที่มีสาเหตุเกิดจากขนาดของครรภ์ที่ใหญ่มากจนไปเบียดรบกวนรบการย่อยอาหารและระบบขับถ่าย ทำให้เกิดปัญหาท้องอืด ดังนั้นอาการท้องอืดจึงเป็นเหมือนซีรีย์เรื่องยาว เป็นปัญหาเรื้อรังของคุณแม่ตั้งครรภ์

วิธีการบรรเทาแก้ไขและป้องกันอาการ ท้องอืด ขณะ ตั้งครรภ์

1.      1. อย่าทานอาหารในแต่ละมื้อให้มากเกินไป ในช่วงตั้งครรภ์กระเพาะอาหารทำงานได้ไม่สมบูรณ์นัก เราต้องพยายามทานให้น้อยกว่าปกติในแต่ละครั้ง แต่เพิ่มความถี่ของมื้ออาหารให้มากขึ้น เพื่อให้ได้สารอาหารที่เพียงพอ การทานทีละน้อย ทำให้ระบบย่อยสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เหลืออาหารตกค้างซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องอืด

2.      2. พยายามทานอาหารในเวลาเดิมให้ตรงเวลาทุกๆ วัน เพื่อให้ระบบย่อยอาหารเคยชินและหลั่งน้ำย่อยออกมาในเวลานั้นๆ เพื่อย่อยอาหาร

3.      3. พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีไขมันสูง ของทอด อาหารผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ เนื่องจากอาหารประเภทนี้ย่อยยาก

4.      4. หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัดทุกชนิด เพราะอาหารรสจัดทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และการไม่ทานอาหารรสจัดยังดีต่อสุขภาพของคุณแม่อีกด้วย

5.      5. หากมีอาการท้องอืดในเวลานอน พยายามนอนตะแคงด้านซ้าย อย่านอนตะแคงด้านขวา เนื่องจากจะทำให้กระเพาะไปอยู่ด้านบนของหลอดทางเดินอาหาร

6.      6. ไม่ควรทานอาหารในช่วง 2-3 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน เนื่องจากเมื่อเรานอนหลับการย่อยอาหารจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้เหลืออาหารตกค้างในกระเพาะและเกิดการเน่าเสียจนเกิดแก็สในท้องที่ทำให้ท้องอืด

7.      7. เมื่อมีอาการท้องอืด อย่าพึ่งหาซื้อยามารับประทานเอง เนื่องจากยาขับลมในกระเพาะบางอย่างเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

8.      8. เลือกใส่ชุด หรือเสื้อผ้าที่หลวมสบาย การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดและท้องอืดได้

เมื่อมีอาการ ท้องอืด ตั้งครรภ์ วิธีแก้และการป้องกันปัญหาให้ทดลองทำดังนี้ แต่หากทำแล้วไม่ได้ผล ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติและทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป