ข้อควรปฏิบัติและอาหารใน ระยะตั้งครรภ์ 4 เดือน

เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4 หรือ 16 สัปดาห์ ทั้งร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ มีการเปลี่ยนแปลงและมีพัฒนาการเพิ่มเติมหลายอย่าง ข่าวดีอย่างหนึ่งก็คือ อาการแพ้ท้องที่รบกวนคุณแม่มาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ได้ทุเลาเบาบางลงไปแล้ว บางรายอาจจะมีอาการอยู่บ้างเล็กน้อยๆ แต่นับว่าดีขึ้นมากแตกต่างจากช่วงแรกอย่างชัดเจน ช่วง ระยะตั้งครรภ์ ในเดือนนี้ ทารกมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวมากขึ้น เนื่องจากการเชื่อมต่อประสานงานของระบบประสาททำงานได้มากขึ้น มีการกำมือแบบมือ งอแขนงาได้บ้าง แต่การทำงานยังไม่ได้เกิดจากการสั่งงานโดยตรงของสมอง คือ ยังไม่ได้คิดว่าจะขยับแบบนั้นแบบนี้ ขนาดของทารกก็ยังเล็กมาก คือ ช่วงตัว (วัดจากศีรษะถึงก้น) ยาวประมาณ 13-14 เซนติเมตร และมีน้ำหนักราวๆ 180 กรัม หรือไม่ถึง 2 ขีด เท่านั้นเอง แต่หูของทารกเริ่มได้ยินเสียงแล้ว และดวงตาส่วน retina เริ่มรับรู้เกี่ยวกับแสง มีความไวต่อแสงและมีการตอบสนองต่อแสงสว่างแล้ว

ดังนั้นในช่วงนี้คุณแม่ควรทำการกระตุ้นประสาทการได้ยินและการรับรู้ของลูกได้แล้วด้วยการพูดคุย ไปพร้อมๆ กับลูบไล้หน้าท้อง ทำให้ทารกมีพัฒนาการด้านการได้ยินและสมองไปพร้อมๆ กัน หรือจะเป็นการเปิดเพลงกล่อมเป็นช่วงๆ ก็มีงานวิจัยยืนยันว่าส่งผลดีต่อพัฒนาการของทารก โดยเฉพาะเพลงบรรเลงประเภทเพลงคลาสสิก หรือจะเป็นเพลงที่ฟังสบายๆ อย่าลืมว่าอารมณ์ของคุณแม่มีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเมื่อลูกอยู่ในร่างกายและมีส่วนสัมพันธ์กับการทำงานของร่างกายคุณแม่ ทารกก็จะได้รับผลไปด้วย

อาหารที่ควรมีการเสริมเป็นพิเศษนอกจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ก็คือ วิตามินบี 1 เพื่อช่วยป้องกันการเกิดอาการโรคเหน็บชา เนื่องจากขนาดครรภ์ของคุณแม่ใหญ่ขึ้นการหมุนเวียนโลหิตเริ่มติดขัดและมีอาการเหน็บชาได้ง่าย และควรรับประทานอาหารที่มีแร่สังกะสี เพื่อเสริมพัฒนาการความเจริญเติบโตของทารก วิตามินบี 1พบมากใน ข้าวกล้อง เนื้อวัว เนื้อมหู เต้าหู้ งา ธัญพืช ส่วน สังกะสี พบมากในอาหารทะเลและถั่วเมล็ดแห้ง

นอกจากนี้ คุณแม่ในช่วง ระยะตั้งครรภ์ 4 เดือน ควรมีการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ และทำให้สุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใสอีกด้วย และเป็นช่วงที่ทำได้ดี เพราะอาการแพ้ท้องทุเลาไปแล้ว ทานอาหารได้ดี การออกกำลังช่วยดูดซึมพลังงานไปใช้ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินด้วย